Bandwidth (แบนด์วิดท์) คือคำที่เราได้ยินกันบ่อยเมื่อพูดถึงเรื่อง อินเทอร์เน็ต ความเร็วเน็ต หรือเครือข่าย แต่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร และทำหน้าที่อย่างไรในระบบที่เราใช้งานอยู่ทุกวัน บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับแบนด์วิดท์ในแบบที่ไม่ต้องมีพื้นฐานเทคนิคก็เข้าใจได้
แบนด์วิดท์ คืออะไร?
แบนด์วิดท์ (Bandwidth) หมายถึง ปริมาณข้อมูลที่สามารถส่งผ่านได้ภายในช่วงเวลาหนึ่ง หน่วยวัดที่ใช้บ่อยคือ Mbps (เมกะบิตต่อวินาที) หรือ Gbps (กิกะบิตต่อวินาที) พูดง่าย ๆ แบนด์วิดท์ก็เหมือนกับขนาดของท่อส่งน้ำ — ยิ่งท่อใหญ่ น้ำก็ยิ่งไหลได้มากและเร็ว ในกรณีนี้คือ ข้อมูลยิ่งส่งผ่านได้เร็วและมาก
ความเร็วอินเทอร์เน็ตเกี่ยวอะไรกับแบนด์วิดท์?
หลายคนเข้าใจผิดว่า แบนด์วิดท์คือความเร็ว แท้จริงแล้วไม่ใช่ตรงๆ แบนด์วิดท์คือ “ความจุ” หรือ “ช่องทาง” ที่ข้อมูลจะผ่าน ส่วนความเร็วขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น เช่น สภาพแวดล้อมเครือข่าย หรือจำนวนอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมกัน
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าแบนด์วิดท์ของบ้านคุณคือ 100 Mbps และคุณใช้งานคนเดียว ความเร็วที่คุณได้รับจะเต็มที่ แต่ถ้ามีหลายอุปกรณ์แชร์กัน ความเร็วต่ออุปกรณ์ก็จะลดลงตามการใช้งานรวม
แบนด์วิดท์ส่งผลต่ออะไร?
-
การสตรีมวิดีโอ หากแบนด์วิดท์ต่ำ วิดีโอจะกระตุกหรือโหลดนาน
-
การดาวน์โหลด/อัปโหลดไฟล์ แบนด์วิดท์มากจะช่วยให้ไฟล์ขนาดใหญ่ถูกส่งผ่านได้รวดเร็ว
-
การเล่นเกมออนไลน์ แม้ Ping จะสำคัญกว่า แต่แบนด์วิดท์ก็ช่วยให้ประสบการณ์ลื่นไหลโดยไม่หลุด
-
การทำงานระยะไกลหรือวิดีโอคอล หากแบนด์วิดท์ไม่พอ ภาพจะเบลอ เสียงขาดหาย หรือระบบล่มกลางสาย
เลือกแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตจากแบนด์วิดท์ยังไงดี?
-
สำหรับ ผู้ใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียล ดูวิดีโอความละเอียด HD: เริ่มที่ 50–100 Mbps
-
สำหรับ บ้านที่มีหลายอุปกรณ์หรือสตรีม 4K: ควรเลือก 300 Mbps ขึ้นไป
-
สำหรับ ธุรกิจหรือองค์กร ที่มีหลายยูสเซอร์พร้อมกัน: 1 Gbps หรือมากกว่า จะเหมาะกว่า
แบนด์วิดท์คือหัวใจของการใช้อินเทอร์เน็ตที่ลื่นไหล การเข้าใจว่ามันทำงานยังไง ช่วยให้คุณเลือกใช้อินเทอร์เน็ตได้เหมาะสมกับการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรือทำงานออนไลน์
หากคุณกำลังเลือกแพ็กเกจเน็ต ลองดูที่ “แบนด์วิดท์” ให้มากกว่าชื่อโปรฯ เพราะนั่นคือสิ่งที่จะบอกว่าคุณใช้งานได้ลื่นไหลแค่ไหนในชีวิตประจำวัน